Wednesday, October 22, 2014

กระถิน



ลักษณะ

                เป็นไม้พุ่มมีตั้งแต่ลำต้นขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่  สูงได้ถึง 10 เมตร  ใบกระถินเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นเรียงสลับ  แกนกลางใบประกอบยาว 10 – 20 ซม.  ใบย่อยมีขนาดเล็กสีเขียวปลายแหลม  โคนเบี้ยว ท้องใบสีนวล ออกดอกสีขาวเป็นช่อกระจุกตรงง่ามใบ  1 – 3 ช่อ ฝักแบนปลายแหลม  ยาวประมาณ 5 – 6 นิ้ว  ฝักมีสีเขียวมองเห็นเมล็ดข้างใน  มีเมล็ดเรียงแถวเดี่ยว  เมล็ดอ่อนสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาล 

                ต้นกระถินชอบขึ้นอยู่ตามธรรมชาติโดยทั่วไป ในสวน ทุ่งนา  ป่าเขา ทนแดดทนแล้งได้ดี  นิยมปลูกต้นขนาดเล็กไว้เป็นรั้วบ้านด้วยรูปทรงที่สูงเพรียวตัดแต่งกิ่งให้เป็นเหมือนรั้ว  และเด็ดยอดเก็บฝักมากินได้ทุกวัน  ถือว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง  สามารถขับไล่เสนียดจัญไร  ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและปักชำ  เจริญเติบโตเร็วโดยเฉพาะฤดูฝนที่มีน้ำเพียงพอ

ใช้เป็นอาหาร

                ฝักอ่อน   เมล็ดอ่อน  และยอดอ่อน  ใช้เป็นอาหาร  ทั้งหมดนั้นมีรสชาติฝาดอมหวาน  ฝักอ่อนนิยมกินกับขนมจีนน้ำยา  ฝักและยอดอ่อนนิยมกินสดๆกับน้ำพริกต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกปลาทู  ปลาร้า  น้ำพริกหนุ่ม  แจ่วบอง  หรือหลนก็เข้ากันได้ดีมาก  รวมทั้งเป็นผักเหนาะกินกับส้มตำ ตำแตงร้าน  แตงกวา  ทางภาคใต้นิยมกินกับแกงผัด  แกงไตปลา  เพื่อที่จะบรรเทารสชาติเผ็ดร้อน  เมล็ดกระถินมีรสชาติมันใช้เป็นผักในข้าวยำอาหารถิ่นปักษ์ใต้ 

คุณประโยชน์

                เมล็ดแก่แข็ง  เอามาทำเป็นเครื่องประดับจำพวกสร้อยข้อมือ  สร้อยคอ เข็มกลัค ใบแก่ของกระถินนำมาเลี้ยงวัว ควาย เลี้ยงหมูได้  นำมาทำปุ๋ยหมัก ทำปุ๋ยชีวภาพ

                ยอดและฝักอ่อน  มีวิตามินสูงช่วยบำรุงสายตา  มีเส้นใยมากช่วยแก้ท้องผูก  มีโปรตีนสูงช่วยซ่อมแซมเซลล์  บำรุงร่างกาย มีแคลเซียมสูง ช่วยเสริมกระดูกและฟัน

                ราก มีรสจืดเฝื่อน ใช้ขับระดูขาว ขับลมแก้ท้องอืด แก้ท้องร่วงอาเจียน

                ลำต้น  ใช้สมานแผล  ห้ามเลือด  แก้ท้องร่วง

                ใบอ่อน  กินบำรุงร่างกาย  มีสารแทนนิน สารอัลคาลอยด์ สารเควอ

                ดอก  มีรสมัน  กินบำรุงตับดี  แก้เกล็ดกระดี่ที่ดวงตา


                เมล็ด  มีกรดไขมันและสารอัลคาลอยด์ ใช้ขับพยาธิตัวกลม  โดยเด็กกินเมล็ด 5 – 20 กรัม  ในตอนเช้าตอนท้องว่าง  ติดต่อกัน 3 – 5 วัน  ในผู้ใหญ่ใช้ปริมาณมากขึ้น  25 – 50 กรัม  แล้วแต่น้ำหนักตัว  วิธีการใช้เช่นเดียวกัน

Friday, October 17, 2014

กระชาย


ลักษณะ


                เป็นไม้ล้มลุก  สูงประมาณหัวเข่า  ใบเดี่ยวสี่เขียวยาวรีเรียงสลับตรงกันข้าม  กาบใบสีแดง ออกดอกสีขาวหรือสีชมพูอ่อนเป็นช่อที่ยอด  ช่อดอกมีใบประดับเรียงทแยง มองเห็นดอกอยู่ตรงระหว่างกาบใบ  แต่ออกไม่บ่อยนัก  ส่วนหัวหรือเรียกว่าเหง้ากระชายอยู่ใต้ดิน  เหง้ามีรากติดเป็นกระจุกลักษณะเรียวแหลมกระจายออก  แต่ละรากจะมีส่วนตรงกลางใหญ่กว่าส่วนหัวท้าย  บางครั้งรากเป็นทรงกระบอก รากที่แก่แล้วจะมีผิวสีน้ำตาลอ่อน  เนื้อในสีเหลือง  กระชายโตเร็วมีอายุยืนหลายปี  มีหลากหลายพันธุ์คือ กระชายเหลือง  กระชายดำ  และการชายแดง  ส่วนของเหง้าและรากอยู่ใต้ดินได้นานหลายเดือนแม้ว่าส่วนลำต้นจะร่วงโรยไปแล้ว          
                กระชายชอบดินร่วนปนทราย  ไม่ชอบน้ำขัง  ปลูกขึ้นได้ง่าย  ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ    ตัดเอาใบทิ้งไปเหลือเพียงต้นกับราก  2 – 3 ราก  เอาไปลงหลุมลึก 10 – 15 ซม. กลบดินที่ผสมปุ๋ยคอก  รดน้ำให้ชุ่มในระยะแรก  หากอากาศร้อนไม่ค่อยชุ่มชื้นควรหาฟางมาคลุมไว้ก่อน หรือปลูกใต้เงาต้นไม้ใหญ่  กระชายโตง่ายไม่ค่อยจะมีโรคหรือแมลงมารบกวน

ใช้เป็นอาหาร


                เหง้าและรากมีฤทธิ์เผ็ดร้อน  กลิ่นหอม นิยมใช้เฉพาะเหง้าของกระชายเหลืองเป็นเครื่องเทศปรุงรสในอาหารจำพวกแกงป่าทุกอย่าง แกงกะทิน้ำยาขนมจีน  ตำแหลกใส่น้ำพริกแกงส้ม  ใส่แกงเลียง  หั่นเป็นชิ้นเล็กยางใส่ผัดเผ็ดต่างๆ เพื่อดับกลิ่นคาวและให้กลิ่นหอมกับรสเผ็ด  เป็นเครื่องปรุงในห่อหมกปลา  ห่อหมกหน่อไม้  ทำน้ำกระชายสำหรับดื่มแก้กระหาย  ทำไวน์กระชาย  ทำเชื่อมเป็นของว่างสมุนไพรและอื่นๆอีกมากมาย

คุณประโยชน์


                ทั้งส่วนราก เหง้าและลำต้นประกอบด้วยสารระเหย  เหง้าจะมีน้ำมันระเหยอยู่น้อยประมาณ 0.08 เช่น alpinetin,pinocembin,cardmonin,boesenberign A ,pinostrobin แต่ในส่วนรากยังพบสาร chavicinic acid ด้วย  สารเหล่านี้มีฤทธิ์ขับลมในระบบทางเดินอาหาร  ยังช่วยยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียได้หลายชนิด  ช่วยเจริญอาหาร  นอกจากนี้แร่ธาตุต่างๆ  เช่น แคลเซียม  เหล็ก  วิตามินเอก็มีในเหง้าและรากอยู่ไม่น้อย

                เหง้ากระชายช่วยรักษาโรคบิด  แก้ปวดมวนท้อง  ท้องอืดเฟ้อ  ท้องเสียชนิดไม่รุนแรง แก้โรคปากเปื่อย  ปากแห้ง และขับปัสสาวะ  ด้วยการนำเหง้าและรากครึ่งกำมือต้มกับน้ำพอท่วม  ดื่มครั้งละ 1 แก้ว


                บำรุงกำลังและสมรรถภาพทางเพศ โดยเฉพาะกระชายดำ  วิธีการทำเพื่อดื่มรักษาโรคนั้นทำโดยใช้เหง้าสด 2 เหง้า  บดให้ละเอียด  เติมน้ำปูนใสคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม  หรือทุบรากพอแหลกแล้วนำไปต้มน้ำดื่มร้อนๆหรือทำเป็นกระชายแห้งบดเป็นผงสำหรับกินเป็นชาร้อนก็ได้

Wednesday, October 15, 2014

ขี้เหล็ก


ลักษณะ

         เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง  ทรุงพุ่มลำต้นสูงได้ถึง 10 เมตร  ลำต้นมาเปลือกหนาและขุขระ  มีรอยแตกเป็นร่องตื้นตามยาวลงมา  ใบประกอบรูปขนนกเรียงสลับ ใบย่อยรูปรีออกตรงกันข้าม  ใบอ่อนมีสีเขียวปนน้ำตาล  ใบแก่มีสีเขียวเข้ม  ออกดอกเป็นช่อแยกแขนงอยู่ตรงซอกใบ  มีสีเหลือง  ผลเป็นฝักแบน  เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลดำ  ฝักบิดงอ  ฝักหนึ่งมีเมล็ด 10 – 30  เมล็ด 

          ขี้เหล็กเป็นพืชเมืองร้อน  เช่น  ไทย  ลาว  ศรีลังกา  มาเลเซีย  ขึ้นได้เองตามธรรมชาติ  ทุ่งนา  ป่าเขา  อยู่ตามวัดชนบท  สวน  ในไร่ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดจนได้ต้องกล้าสู่ประมาณ  30 ซมแล้วจึงนำไปใสหลุมที่ขุดเตรียมไว้  กว้าง  ยาว  ลึก  50  ซม. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก  เอาดินกลบหลุม  รดน้ำให้ชุ่มในช่วงแรกเท่านั้น  ควรปลูกต้นฤดูฝน  ปลูกขึ้นได้ง่ายในดินทั่วไป  ทนแดดทนแล้งได้ดี
ใช้เป็นอาการ

          ยอดและใบอ่อน  ดอกอ่อน  ใช้แกงกับกะทิใส่น้ำใบย่านางเพิ่มรสชาติเรียกว่าแกงขี้เหล็กกับไก่  ปลา  หมู  เนื้อสัตว์อย่างอื่นได้ด้วย  หรือไม่ใส่กะทิเป็นแกงขี้เหล็กทางอีสาน  ก่อนแกงต้นต้มใบอ่อนและดอกด้วยน้ำเปล่าหลายๆครั้ง  และบีบเอาน้ำออกเพื่อเอารสขมออก  และแน่นอนว่าสารอาหารจะถูกกำจัดออกไปด้วย  บางท้องถิ่นเอาไปทำเป็นผักลวกจิ้มน้ำพริก

คุณประโยชน์ 

        ใบมีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูง  มีสารแอนทราควิโนนในใบ  และดอกอ่อนใช้เป็นยาระบายพร้อมทั้งมีเส้นใยมากด้วย  สารอัลคาลอยด์ในใบแก้โรคนอนไม่หลับเพราะออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางให้สงบโดยไม่มีอันตรายต่อร่างกาย  และรสขมของขี้เหล็กช่วยเจริญอาหาร

          คนในสมัยการใช้ขี้เหล็กเป็นยารักษาดังต่อไปนี้

          ใบสดตำพอกแก้เหน็บชา  ใบสด 5 กำมือต้มกับน้ำพอท่วมให้เดือด 30  นาที  ดื่มก่อนนอนช่วยแก้อาการท้องผูก  วิธีการแก้อาการนอนไม่หลับคือต้องดื่มน้ำต้มกับใบขีเหล็กตอนก่อนนอนเหมือนกับการดื่มแก้ท้องผูก  หากกินในแบบแกงขี้เหล็กนั้นความขมถูกต้มและบีบออกไม่มาก  สารแอนมราควิโนนและสารอัลคาลอยด์เหลืออยู่ไม่มาก  หวังจะแก้โรคคงไม่ดีแน่  แถมกะทิด้วยจะทำให้อ้วน

          ดอกเป็นยาระบาย  มีสารต้านอนุมูลอิสระ  สารแอนทราควิโนนและสารอัลคาลอยด์ ช่วยให้นอนหลับ  เจริญอาหาร  รักษารักแค  โรคหืด ขับพยาธิ

          เปลือกลำต้น เป็นยาแก้รักษาโรคริดสีดวงทวาร  โรคหิดที่อาศัยตามลำตัว  เป็นส่วยผสมของยาแก้ลม อัมพฤกษ์

          แก่น  ใช้รักษาโรคเบาหวาน โรคหนองใน  โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน  ขับด้วยน้ำคาวปลา  ขับประจำเดือน  เป็นส่วนผสมของยารักษามะเร็ง  วัณโรค  โรคผิวหนังและยาอื่นๆ


          ราก ใช้แก้ไอ ไข้กลับ  รักษาโรคเหน็บชา  เป็นส่วนผสมของยาแก้ปวดกระดูก  อัมพฤกษ์ แก้ฟกช้ำดำเขียว

Friday, October 3, 2014

ข่า


ลักษณะ

          ไม้ล้มลุก  ลำต้นกลมตรงขนาดสูงใหญ่กว่ากระชาย  มีความสูงประมาณ 2 เมตร  มีกาบใบซ้อนทับกันมองดูคล้ายลำต้น  อยู่กันเป็นกอเกาะกลุ่มกัน  ใบเลี้ยงเดี่ยวสีเขียวยาวรี  ปลายแหลม เรียงสลับข้างกัน  ออกดอกเป็นช่อยาวที่ยอด  ดอกมีขนาดเล็กมีอยู่เป็นจำนวนมาก  กลีบดอกสีขาวกลีบใหญ่ที่สุดมีริ้วสีแดง  ผลเปลือกแข็งรูปร่างกลมหรือรี  สีแดงอมส้มขนาดประมาณ 1 ซม.  มี  2 – 3  เมล็ดอยู่ภายใน  ผลแก่จัดจะมีสีดำ  มีเหง้าขนาดใหญ่อยู่ใต้ติด  ลักษณะของเหง้าแข็งและเป็นข้อปล้อง  ใหญ่กว่าหัวแม่เท้ามักคดไปมา  มีรากแข็งหลายเส้นออกมาจากเหง้าข่า  เนื้อข่ามีสีเหลืองกลิ่นหอม  ใช้เป็นเครื่องเทศและเป็นยา

          ข่าเป็นพืชเมืองร้อนแถบเอเชีย เช่น  ไทย ฟิลิปปินส์  ขยายพันธุ์ด้วยการตัดเอาแง่งยาวประมาณ 10  ซม. ให้มีรากและติดติดมาด้วย  ใส่ลงไปในหลุมที่ขุดเตรียมไว้ลึกประมาณ  3 – 5 นิ้ว  เอาดินร่วนซุยกลบมิดรดน้ำให้ชุ่ม  แต่ไม่ควรให้มีขังจนเน่าตาย  ควนปลูกฤดูฝนจะงอกงามดีมาก  ปลูกง่ายไม่มีแมลงรบกวน

ใช้เป็นอาหาร

          เหง้าแก่ของข่าหั่นและทุบใช้เป็นเครื่องเทศใส่ต้มยำได้ทุกชนิด  แกงเผ็ดทุกอย่าง  ต้มเครื่องในวัว  และอาหารอีกหลายประเภท  ส่วนเหง้าอ่อนนำมาต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริก  สามารถดับกลิ่นคาวได้เป็นอย่างดี  หรือจะเอาใส่ต้นยำก็ตักกินเป็นผักได้  เหง้าอ่อนหั่นใส่ต้มข่าไก่  กินข่าเป็นชิ้นๆ รสชาติเข้ากันดี  ต้นข่าอ่อนนิยมปอกเปลือกให้เหนือแต่ส่วนนิ่ม  แล้วเอาไปต้มจิ้มน้ำพริกปลาร้า  หรือปลาทู  น้ำพริกอื่นๆก็เข้ากันดี  มีรสเผ็ดหวานเล็กน้อยและมัน

คุณประโยชน์

          น้ำมันหอยระเหยหลายชนิด  ซึ่งประกอบด้วย   keampferol,cineole,camphor,linalool,eugenol  ทำให้เจริญอาหาร  มีวิตามินซี  แคลเซียม  เส้นใยอาหาร  เบต้าแคโรทีน  ไนอาซีน  ช่วยชะลอการแก่ชรา


          ทำเป็นยารักษาโดยใช้เหง้าอ่อนขนาดหัวแม่มือทุบให้แตกต้มพอเดือดเอามาดื่มช่วยขับลมในลำไส้ได้  แก้ท้องอืด  ท้องเฟ้อ  ช่วยขับเลือดซึ่งเหมาะกับหญิ่งที่เพิ่งคลอดบุตร

Wednesday, October 1, 2014

ผักกระเฉด


ลักษณะ
         เป็นพันธุ์ผักที่อาศัยอยู่ในน้ำ ทอดลำต้นไปบนผิวน้ำ  คูคลอง หนอง บึง แตกยอดออกไปเรื่อยๆ มียอดอ่อนกินได้ตลอดทั้งปี ใบมีขนาดเล็กเป็นใบประกอบ  ใบจะหุบลงเมื่อมีอะไรไปสัมผัสเหมือนกับต้นไมยราบลำต้นอวบเป็นข้อหรือยาวประมาณ 5 ซม.สีเขียวมีฟองน้ำสีขาวห่อหุ้มโดยรอบมองดูเหมือนทุ่นลอยน้ำเรียกว่า  นม   ทำให้ลำต้นขาวขึ้นน่ากินและกรอบ  ลำต้นส่วนที่ไม่มีฟองน้ำหุ้มจะด้านไม่อร่อย  มีรากฝอยแตกออกเป็นกระจุกตามข้อ  ออกดอกสีเหลืองตรงซอกใบ  มีกลีบดอก 5 กลีบผลเป็นฝักมีขนอ่อนปกคลุมอยู่ทั่ว

          ขยายพันธุ์ด้วยการตัดเอาเถาผักกระเฉดมาปักดำในนาข้าวที่ไถเตรียมไว้  ปลูกเป็นแถวแต่ละต้นห่างกัน 1 เมตร ปล่อยน้ำเข้านาให้พอท่วมเหมือนปลูกข้าว  มักเอาแหนเขียวลงไปปลูกด้วยเพื่อคลุมไม่ให้แดดถูกต้นกระเฉดมากนัก  ต้นจะได้อวบ กรอบ มีสีเขียนอ่อน
ใช้เป็นอาหาร
          ยอดอ่อนยาวประมาณ 6 ซมที่ยังมีความอ่อนนิ่มรสชาติฝาดอมหวาน  มีความกรอบอร่อย  นิยมเอาไปทำยำผักกระเฉด  ยำรวมกับวุ้นเส้นแกงส้มกับปลา  นิยมกินสดกับขนมจีนด้วย  ผัดกระเฉดไฟแดงเหมือนผักบุ้งไฟแดง  ผักกระเฉดหมูกรอบทำเหมือนคะน้าหมูกรอบให้รสชาติอร่อยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน  ที่สำคัญต้องล้างให้สะอาดจากสิ่งสกปรกและตัวอ่อนของพยาธิที่มีอยู่ทั่วไปในน้ำ

คุณประโยชน์

มีเบต้าแคโรทีนช่วยต้านอนุมูลอิสระ  มีวิตามินเอ แคลเซียมสูง  และโปรตีนสูง  ช่วยบำรุงร่างกาย  บำรุงสายตาและผิวพรรณ
          ใบกระเฉดมีสรรพคุณทางยาใช้แก้พิษไข้  แก้ปวดบวม  ปวดอักเสบ  ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย

          ผักกระเฉดส่วนที่กินได้ 100  กรัม  มีพลังงาน 43 กิโลแคลอรี ไขมัน 0.2 กรัม  คาร์โบไฮเดรต  0.8 กรัม  โปรตีน  6.4  กรัม  เส้นใย  1.8  กรัม  แคลเซียม  123 มิลลิกรัม  ฟอสฟอรัส  49 มิลลิกรัม  เหล็ก  2.5  มิลลิกรัม  วิตามินเอ 5,155 หน่วย วิตามินบี  1  0.12 มิลลิกรัม  วิตามิน บี  2  0.15 มิลลิกรัม  วิตามิน  ซี  1.8  มิลลิกรัม  ไนอาซีน  3.2  มิลลิกรัม